12-tips-on-how-to-safe-your-children-during-rainy-season

12 สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญถ้าไม่อยากให้ลูกป่วยหน้าฝน 2025

Last updated:

ในช่วงฤดูฝนแบบนี้ การเดินทางไปไหนๆ ก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก ฝนตกเฉอะแฉะ เปียกชื้น โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ ที่ช่วงนี้ต้องออกจากบ้านไปโรงเรียน ต้องเดินทาง บางคนมีรถยนต์ส่วนตัวก็สะดวกสบายหน่อย แต่หลายคนอาจอาศัยมอร์เตอร์ไซค์ ขนส่งมวลชน หรือเดินไปโรงเรียนเอง คุณแม่และคุณพ่อควรต้องคำนึงถึงอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้กับลูกของคุณ ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยที่มากับฤดูฝน หรืออุบัติเหตุต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

KIDS IN THE RAIN

ด้วยความห่วงใยลูกของคุณ Central Inspirer จึงอยากชวนให้คุณแม่และคุณพ่อระมัดระวังและตระหนักถึงภยันตรายและโรคภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับลูกของคุณในช่วงหน้าฝนนี้

12 ข้อควรระวังสำหรับลูกน้อยในช่วงหน้าฝน

1. เตรียมอุปกรณ์กันฝนให้พร้อมเสมอ

1 IN A RAINCOAT

ในช่วงที่ฝนฟ้าไม่เป็นใจ ไม่ว่าลูกจะเดินทางไปโรงเรียน หรือคุณแม่และคุณพ่อจะพาลูกน้อยไปเที่ยวที่ไหน ต้องไม่ลืมร่มและเสื้อกันฝนใส่ติดกระเป๋าของลูกเอาไว้ และควรพกติดไว้ในรถของคุณแม่และคุณพ่อด้วย พอฝนตกลงมาจะได้สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที หากวันนี้ท้องฟ้าดูครึ้มๆ ท่าทางฝนน่าจะตก คุณแม่และคุณพ่อควรให้ลูกน้อยสวมหมวกกันฝนเมื่อออกจากบ้าน เพราะสามารถช่วยทั้งป้องกันศีรษะลูกจากละอองฝนได้

2. อุปกรณ์หลังเปียกฝนต้องมี

2 TOWELS

มีอุปกรณ์ป้องกันเปียกฝนแล้ว หลังฝนตกหรือหลังจากที่ลูกเปียกปอนมาจากฝนแล้ว อุปกรณ์ของใช้ดูแลลูกหลังเปียกฝนต้องมา เสื้อผ้าแห้ง สะอาดๆ สำหรับเปลี่ยนได้ทันทีต้องเตรียมไว้ ที่สำคัญต้องมีผ้าเช็ดตัวสำหรับเช็ดผมและร่างกายให้แห้งด้วย ลูกน้อยจะได้ตัวแห้งสบาย ไม่เปียกปอนจนอาจเกิดอาการเป็นไข้หวัดได้

3. ระวังลูกน้อยเป็นหวัดจากการตากฝน

3 CATCH A COLD

ช่วงฤดูฝน เด็กๆ จะเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะโรคหวัดที่มาจากการโดนละอองฝน หรือตากฝน หากในชั้นเรียนของลูกมีเด็กๆ ที่ป่วยเป็นไข้หวัด มีความเป็นไปได้ว่าลูกของคุณอาจจะติดหวัดมาจากเพื่อนที่โรงเรียนได้ หากลูกป่วย ควรให้ลูกหยุดอยู่บ้านสักระยะหนึ่งจนกว่าจะหายป่วย ในทางกลับกัน หากลูกของคุณเป็นฝ่ายป่วยเป็นไข้หวัด คุณแม่คุณพ่อควรให้ลูกหยุดเรียนพักอยู่กับบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกนำเชื้อหวัดไปติดเพื่อนๆ คนอื่นที่โรงเรียนค่ะ

4. อย่ามองข้ามเท้าของลูก

4 WET FEET1

ฝนตกมักมีน้ำท่วม หรือมีน้ำเฉอะแฉะ ควรหารองเท้าบูทยาง หรือรองเท้าเตะให้ลูกใส่ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน เพื่อป้องกันรองเท้าและถุงเท้าเปียกระหว่างการเดินทาง เมื่อถึงโรงเรียนให้ลูกล้างเท้าแล้วจึงค่อยเปลี่ยนเป็นรองเท้านักเรียน เท้าของลูกน้อยจะได้ไม่อับชื้นระหว่างวัน ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นอับ เชื้อรา และโรคเกี่ยวกับเท้าที่อาจพบได้บ่อยในหน้าฝน

5. ดูแลสุขภาพของลูกให้แข็งแรงอยู่เสมอ

5 HEALTHY KIDS

ช่วงหน้าฝนแบบนี้ ควรชวนลูกออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับลูก รวมถึงให้ลูกรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีเยอะๆ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหวัด และหากลูกยังไม่ได้รับวีคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ อย่าลืมพาลูกไปฉีดวัคซีนให้ครบนะคะ

6. เตรียมหยูกยาให้พร้อม

6 MEDICINES FOR KIDS

คุณแม่และคุณพ่อควรเตรียมยาพื้นฐานที่ใช้กับลูกติดบ้านไว้เสมอ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้แพ้ ยาแก้หวัด เพราะหากลูกมีอาการเจ็บป่วยจากไข้หวัดที่เราสามารถรักษาในเบื้องต้นได้ จะได้ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยของลูกได้ก่อนพาไปหาแพทย์ค่ะ

7. รักษาความอบอุ่นของร่างกาย

7 WARM

ในช่วงฤดูฝนควรห่มผ้าและใส่ถุงเท้าให้กับลูกก่อนอน ไม่จำเป็นต้องหนามาก แต่ต้องเพียงพอสำหรับการรักษาความอบอุ่นของร่างกาย คุณแม่และคุณพ่ออาจหาน้ำมันยูคาลิปตัส น้ำมันหอมระเหย หรือหั่นหอมหัวแดงวางไว้ที่หัวนอน เพื่อช่วยให้ลูกน้อยหายใจสะดวกขึ้น และสร้างความผ่อนคลายระหว่างการนอนหลับได้ดีอีกด้วย

8. เฝ้าระวังโรคระบาดอื่นๆ

6 MEDICINES FOR KIDS1

ช่วงฤดูฝน ไม่เพียงโรคหวัดธรรมดาที่อาจคุกคามสุขภาพของลูกได้ ยังมีโรคอีกมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน เช่น 

  • โรคไข้หวัดใหญ่ ที่เกิดจากเชื้อไวรัส อาจทำให้ลูกป่วยหนักกว่าไข้หวัดธรรมดา
  • โรคต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นการติดเชื้อทางระบบหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
  • โรคไข้เลือดออก ฝนตกหนักทุกวัน พยายามกำจัดแหล่งน้ำภายในบ้านที่เป็นที่ก่อกำเนิดของยุงลาย
  • โรคอหิวาตกโรค หรือโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน เป็นโรคที่มักเกิดจากการทานอาหารที่ปนเปื้อน และปรุงไม่สุก
  • โรคเยื่อบุตาอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสทำให้ตาแดง ทำให้มีน้ำตาไห
  • โรคฉี่หนู เป็นโรคติดต่อทางบาดแผลและมีน้ำเป็นตัวพาหะ จึงไม่ควรเดินในน้ำขัง โดยเฉพาะหากเด็กมีทบาดแผลที่เท้า

9. ป้องกันเหตุเด็กจมน้ำ

9 DROWNING

นอกจากอาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็กในช่วงหน้าฝนแล้ว อุบัติเหตุต่างๆ ก็สามารถเกิดขึ้นกับลูกได้เช่นกัน เช่นอุบัติเหตุทางน้ำ หรือการจมน้ำ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก (Child Safety Promotion and Injury Prevention Center, CSIP) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี รศ.นพ.อดิศักดิ์  ผลิตผลการพิมพ์ แนะนำวิธีการป้องกันเหตุเด็กจมน้ำเสียชีวิตด้วยการจัดสอนทักษะความปลอดภัยทางน้ำให้กับเด็ก ซึ่งมี 5 วิธีการดังนี้

  • ให้ลูกเรียนรู้ถึงรู้จุดเสี่ยงในน้ำ สอนให้ลูกสังเกตและทราบถึงจุดเสี่ยงเกี่ยวกับน้ำ อาทิ บ่อน้ำที่ไม่ทราบความลึก หรือ แหล่งน้ำ พร้อมฝึกการลอยตัวให้ได้อย่างน้อย 3 นาที 
  • สอนให้ลูกว่ายน้ำเป็น ควรฝึกให้ลูกว่ายน้ำเป็นและสามารถว่ายน้ำได้ไกลเป็นระยะทาง 15 เมตร ขึ้นไป
  • สอนลูกให้ช่วยเพื่อนอย่างถูกวิธี หาดเกิดเหตุการณ์เพื่อนๆ กำลังจะจมน้ำ ต้องขอความช่วยเหลือด้วยการตะโกนให้ผู้ใหญ่ช่วย โยนสิ่งของให้เกาะหรือจับเพื่อดึงเพื่อนเข้าฝั่ง 
  • สอนการใช้ชูชีพกรณีที่เดินทางน้ำ โดยควรให้ลูกเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ไว้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเด็กได้

10. ไฟดูดไฟรั่ว อันตรายที่คิดไม่ถึง

11 ELECROCUTION

ในช่วงฤดูฝนอันตรายที่เกิดจากไฟดูด ไฟรั่ว และไฟฟ้าลัดวงจรนั้น ถือเป็นสาเหตุอันดับ 3 ที่ไม่ควรมองข้าม และอาจคาดไม่ถึง ซึ่งมักเกิดกรณีกระแสไฟรั่วตามเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เช่น ตู้ทำน้ำเย็นสแตนเลสในโรงเรียน ที่จะต้องมีการต่อสายดินเอาไว้ด้วยเสมอ เพื่อป้องกันเหตุไฟดูดเมื่อเด็กไปดื่มน้ำ นอกจากนี้ควรติดตั้งเครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติเพิ่มเติมทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านด้วย

11. สอนลูกให้เรียนรู้วิธีป้องกันตัวเองจากฟ้าผ่า

12 LIGHTENING

อีกอุบัติเหตุหนึ่งที่คุณแม่และคุณพ่อควรระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับลูกคือ อุบัติเหตุจากฟ้าผ่าซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงในช่วงหน้าฝน โดยสถิติการเสียชีวิตจากการถูกฟ้าผ่าในแต่ละปีพบว่า มีจำนวนกว่า 50 คนซึ่งเป็นเด็กถึง 10-15 คนต่อปี ดังนั้น เด็กๆ ควรได้รับการสั่งสอนให้จำไว้ และเตือนภัยตัวเองว่า หากช่วงฝนตกหนักแล้วเกิดมีฟ้าแลบหรือฟ้าร้อง เด็กๆ ต้องหยุดเล่นกิจกรรมกลางแจ้งทุกชนิดโดยทันที และจะต้องรีบหลบเข้าไปอยู่ภายในตัวอาคาร หรือภายในบ้าน ไม่ควรหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือกระต๊อบกลางทุ่งนาเพราะไม่ใช่ที่หลบภัยที่ถูกต้องและอาจเกิดเหตุฟ้าผ่าขึ้นได้

12. อุบัติเหตุในการขับขี่เป็นมหันตภัยสำหรับเด็กโต

10 ACCIDENT

คุณแม่และคุณพ่อทราบหรือไม่คะว่า สาเหตุของการเสียชีวิตของเด็กอันดับ 2 ที่พบมากในช่วงหน้าฝนคือ อุบัติเหตุจากการจราจรบนท้องถนน เนื่องจากเป็นช่วงที่พื้นผิวถนนเฉอะแฉะ และลื่นง่าย ทำให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะอาจเสียหลักในการควบคุมรถจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ โดยในกรณีนี้นั้นมักเกิดขึ้นกับเด็กโตเป็นส่วนใหญ่คือ ตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป ซึ่งผู้ปกครองมีส่วนที่จะป้องกันได้โดยต้องไม่ยอมให้เด็กนำรถจักรยานหรือรถจักรยานยนต์ไปขับช่วงฝนตก โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่ลูกอาจยังมีอายุไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับลูกอีกทางหนึ่งได้

ฤดูฝนแบบนี้ทั้งโรคภัยและอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับเด็กเล็กและเด็กโต ขอเพียงคุณแม่และคุณพ่อใส่ใจ คอยหมั่นย้ำเตือนให้ลูกได้รู้เท่าทันภัยอันตราย ไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดเสี่ยง เพียงเท่านี้ก็เป็นการลดความเสี่ยงของอันตรายและโรคภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกในช่วงหน้าฝนนี้ลงไปได้ไม่มากก็น้อยค่ะ 


ช้อปไอเทมสำหรับแม่และเด็กได้แล้ววันนี้ที่ Central Online

shop back to school at central online

Inspirer_Button_3_aug_shop_now_design2 (1)

สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่กำลังมองหาไอเทมสำหรับแม่และเด็กอยู่ สามารถเข้าไปช้อปกันต่อได้เลยที่ Central Online แหล่งรวมสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำที่มีให้คุณเลือกช้อปอย่างหลากหลาย


ขอบคุณข้อมูลจาก: babimild.com/theasianparent.com/rajanukul.go.th 

Picture credit: pinterest.com