ไวน์ เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมชนิดหนึ่งที่ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้คน โดยเฉพาะแวดวงของผู้ที่มีรสนิยม เครื่องดื่มชนิดนี้ได้รับการตอบรับที่ดีมาก เนื่องจากมันไม่ใช่เครื่องดื่มที่มีรสดีเท่านั้น แต่ยังแฝงไว้ด้วยศิลปะในการดื่ม ตั้งแต่ท่วงท่า วิธีสังเกต ปีที่ผลิต แหล่งที่มา การเลือกภาชนะที่ใช้รับประทาน การใช้ที่เปิดไวน์ หรือ แม้แต่การเลือกใช้ แก้วไวน์ ที่ช่วยเพิ่มรสและเติมความสุนทรีย์ ในการเข้าสังคมการสังสรรค์ได้เป็นอย่างดี ทำให้ดูเป็นคนที่มีความละเมียดละไมใส่ใจในรายละเอียด และมีความสุขุมที่เป็นเสน่ห์ในการเข้าสังคม แต่การจะดื่มให้ได้รสได้ชาติที่แท้จริง นอกเหนือจากความสามารถในการเลือกชนิดและแหล่งที่มาหรือปีผลิตแล้ว ก็ยังมีเรื่องรูปทรงของแก้วที่ใช้ใส่ด้วย ซึ่งเรื่องนี้สำคัญและสามารถเพิ่มสุนทรียภาพให้กับการดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ในทางตรงกันข้าม หากว่าเลือกแก้วผิด ก็อาจจะทำให้ได้รับรสและกลิ่นที่ย่อหย่อนลง การเลือกรูปทรงของแก้วจึงมีความสำคัญมากสำหรับผู้ที่สนใจเครื่องดื่มชนิดนี้
แก้วไวน์ สามารถแบ่งออกเป็น 5 ลักษณะใช้กับประเภทเครื่องดื่มที่ต่างกัน
1. แก้วไวน์แดง ลักษณะเด่นของแก้วสำหรับ ไวน์ ชนิดนี้คือมีรูปทรงที่ค่อนข้างใหญ่ ตัวแก้วอ้วน ปากกว้าง ทั้งนี้เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการสัมผัสกับอากาศให้กับเนื้อของเครื่องดื่ม เพื่อทำให้ ไวน์แดง มีความนุ่มละมุนยิ่งขึ้น หรือที่เรียกกันว่า เป็นการปล่อยให้ไวน์ได้หายใจ และการออกแบบรูปทรงของแก้วจะช่วยให้จมูกของผู้ดื่มได้กลิ่นหอมของไวน์แดงถนัดชัดเจน รับทั้งรสและกลิ่นของไวน์แดงมากกว่า ไวน์ ประเภทอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่
2. แก้วไวน์ขาว จะมีลักษณะที่เล็กกว่า ทรงแก้วแคบและสูงกว่า แก้วไวน์แดง เนื่องจาก ไวน์ขาวไม่ต้องการสัมผัสกับอากาศ เพื่อจะได้ไม่เสียกลิ่นที่มีความหอมอ่อนๆของมันออกไป นอกจากนี้ไวน์ขาวนิยมดื่มแบบเย็น การที่ใช้แก้วที่มีขนาดเล็กกว่า โดนอากาศน้อยกว่าเป็นการรักษาอุณหภูมิของไวน์ภายในแก้วเอาไว้ให้เย็นพอเหมาะกับปริมาณของเครื่องดื่มภายในแก้ว
3. แก้วแชมเปญ หรือ สปาร์คกลิ้งไวน์ ลักษณะพิเศษของมันก็คือ จะมีรูปทรงที่สูง เพรียว และแคบเป็นพิเศษ ทั้งนี้นอกจากเหตุผลที่คล้ายกับ แก้วไวน์ขาว ที่ต้องการเก็บกลิ่นและความเย็นแล้ว ยังเป็นการรักษาก๊าซที่ทำให้เกิดความซ่าของเครื่องดื่มชนิดนี้เอาไว้ด้วย
4. แก้วไวน์ โรเซ่ มีลักษณะพิเศษ ตรงที่มีตัวแก้วที่สั้น ถ้วยอ้วน และมีปากแก้วที่บานออก ที่เป็นแบบนี้ก็เนื่องจาก ต้องการส่งน้ำของเครื่องดื่มให้สัมผัสกับปลายลิ้นและทำให้ไวน์ที่มีรสสัมผัสเบาอย่างสมดุล
6. แก้วไวน์ สำหรับไวน์หวาน หรือ ที่ภาษาอังกฤษว่า Dessert Wine ซึ่งไวน์หวานมีไว้ดื่มคู่กับขนมและของหวาน ลักษณะของแก้วจะเล็กกว่าแก้วแบบอื่น ใช้ดื่มเล็กน้อยคู่กับของว่าง หรือ จะเป็นการดื่มเรียกน้ำย่อยก่อนอาหาร หรือดื่มล้างปากหลังอาหาร จึงเน้นปริมาณที่น้อยๆพอรู้รสเท่านั้น
วิธีจับแก้วไวน์ อีกเรื่องที่ต้องทราบเพื่อการดื่มที่รื่นรมย์
นอกเหนือจากการเลือกใช้ แก้วไวน์ ให้ตรงกับชนิดของไวน์ แต่ละแบบแล้ว เรื่องของวิธีการจับแก้วก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญมากๆ สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มด่ำกับรสชาติกลมกล่อมของไวน์ ก่อนอื่นเราต้องดูที่รูปทรงของแก้ว เราจะเห็นได้ว่าทุกแบบมีก้านแก้วที่สูง เหตุผลที่มีการออกแบบเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนจากมือของเราไปทำลายกลิ่นและรสของมันให้เสียไปนั่นเอง
แต่นอกเหนือจากการป้องกันความร้อนจากมือแล้ว ก้านแก้วที่สูงยังมีประโยชน์เวลาที่เราแกว่งหรือ Clinging ทำให้เราสามารถบังคับให้น้ำไวน์กลิ้งไปรอบๆ แก้วได้อย่างสะดวกด้วย ซึ่งการทำแบบนี้ได้ประโยชน์อยู่ 3 ประการ ดังนี้ ในกรณีเป็น ไวน์แดง คือ ทำให้เนื้อไวน์สัมผัสกับอากาศได้มากขึ้น ลดความฝาดอันเกิดจาก Tannin และลดกลิ่นฉุนที่เกิดจากการบ่มในถังไม้ในไวน์ (โดยเฉพาะที่บ่มไม่นาน หรือ มีอายุน้อย) ทำให้มีรสชาติดีขึ้น และยังช่วยให้เราให้เราสังเกตไวน์ได้ด้วยการเขย่ากลิ้งน้ำไวน์ให้ขึ้นไปเกือบถึงขอบแก้ว และดูการไหลลงมาหากว่าไหลลงมาถี่ๆ แปลว่ามีความเข้มข้นสูงบางคนเรียกว่ามีเนื้อหนังมาก เหมาะสำหรับคนชอบ ไวน์ รสเข้ม เป็นต้น
การดื่ม ไวน์ ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ต้องเลือกเป็น ดูเป็น ดมเป็น และดื่มเป็น จึงจะได้รสชาติที่ดีเยี่ยม และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ คุณต้องเปิดเป็นด้วย เรื่องนี้เป็นปัญหามากสำหรับคนที่เริ่มหัดใหม่ การเปิดที่ไม่ถูกต้องอาจจะทำให้มีเศษตะกอนของฝาตกลงไปในขวด ทำให้เสียรส หากเป็นมือใหม่แนะนำให้หา ที่เปิดไวน์ที่มีมือจับที่เป็นด้ามกดสองข้าง จะง่ายกว่าใช้แบบที่เป็นสกรูและต้องออกแรงดึงเอง สรุปก็คือ นอกจากการเลือกไวน์ เราต้องเลือกอุปกรณ์ที่ใช้งานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น แก้วไวน์แดง แก้วไวน์ขาวโรเซ่ หรืออื่นๆ ให้เหมาะสม หากยังไม่แน่ใจลองไปเลือกซื้อหาผู้จำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องดื่มชั้นนำ ซึ่งคุณจะได้รับคำแนะนำทั้งในเรื่องคุณภาพและอุปกรณ์ที่ใช้อย่างเหมาะสม