อย่างคุณพ่อ คุณแม่ทุกคนทราบกันดีว่าวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 นี้ โรงเรียนของลูกน้อยจะเปิดเทอมใหม่อีกครั้ง ซึ่งตรงกับช่วงหน้าฝนแบบพอดิบพอดี นั่นเองจึงเป็นเหตุให้มาดามไปสืบมาให้แล้วว่า เปิดเทอมช่วงหน้าฝน คุณพ่อ คุณแม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรไว้ให้พร้อมบ้างก่อนลูกจะเปิดเทอม โดยหลักๆ แล้วจะมีทั้งหมด 10 อย่าง ดังนี้ค่ะ
1. อะไรที่กันฝนได้ เตรียมไว้เลย!
ใช่แล้ว! สิ่งที่สำคัญที่สุดช่วงหน้าฝนสำหรับลูกน้อย นั่นก็คือ “ทุกอย่างที่กันฝนได้” ไม่ว่าจะเป็น “เสื้อกันฝน” และ “ร่ม” เพื่อปกป้องศีรษะของลูกน้อย ไม่ให้สัมผัสกับเม็ดปรอยฝนโดยตรงนั่นเอง เพราะอาจทำให้เกิดไข้หวัดได้ อย่างไรก็ตาม มาดามเองก็ไปสืบมาให้ต่อว่า นอกจากไข้หวัดแล้ว ฝนยังทำให้เกิดโรคอะไรอีกได้บ้าง
- ปอดบวม (Pneumonia) – เป็นอาการที่สืบเนื่องมาจากไข้หวัด แต่เกิดภาวะแทรกซ้อน อาทิ ไข้สูง ไอ หายใจเร็ว หรือหอบ
- โรคผิวหนัง – ฝนมีโอกาสทำให้ผิวคุณเกิดผดผื่นได้ หรือเกิดเชื้อราจากความชื้น
ร่ม & เสื้อกันฝน ให้ลูกน้อยเลือกใช้อะไรดี?
มาดามเชื่อเลยว่า พอมีสองอย่างให้เลือก คุณพ่อ คุณแม่ ก็คงเลือกไม่ถูกกันอีกว่า วันไหนจะเลือกชิ้นไหนให้ลูกดี มาดามเลยจะช่วยให้เลือกได้ง่ายขึ้ง ตามนี้เลยค่ะ
เสื้อกันฝนเหมาะจะใช้โอกาสไหน?
เสื้อกันฝนเหมาะจะใช้ในโอกาสดังต่อไปนี้ค่ะ
- ลูกน้อยมีอายุต่ำกว่า 6 ปี – เด็กในวัยนี้ยังมีกล้ามเนื้อที่มือยังไม่แข็งแรงมากนัก ยังถือร่มได้ไม่ถนัด รับมือกับกระแสลมได้ไม่ดี ดังนั้นใช้เสื้อกันฝนจะดีกว่า เพราะไม่ต้องใช้มือ ลดความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ
- ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลัก – ถ้าที่บ้านของคุณมีมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลัก เสื้อกันฝนเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะตอนฝนตกหนัก ร่มไม่สามารถกันฝนได้ แถมยังอันตรายอีกด้วย
- ใช้ขนส่งสาธารณะ – ถ้าลูกน้อยของคุณเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ อาทิ รถสองแถว รถเมล์ เสื้อกันฝนจะช่วยให้ร่างกายแห้งได้นานกว่า กันละอองฝนได้ดี
- ฝนตกหนัก ลมแรง – อันนี้ไม่ต้องคิดเยอะ สวมเสื้อกันฝนไปเลย เพราะถ้าใช้ร่มเวลาฝนตกหนักๆ ยังคงโดนฝนสาดเข้ามาได้ ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีเมื่อถึงที่หมาย
- ลูกเป็นภูมิแพ้ – หากลูกน้อยป่วยบ่อย เป็นไซนัส หอบหืด เสื้อกันฝนจะช่วยทำให้มั่นใจได้มากกว่าลูกจะไม่สัมผัสกับฝนโดยตรง
- ถือของเยอะ – การใช้ร่มจะทำให้เราใช้มือไม่สะดวกหนึ่งข้าง ดังนั้น ในวันที่ลูกต้อถือของหลายชิ้น หรือต้องใช้การเดินทรงตัว เช่น สะพานลอย หรือรถสาธารณะที่เคลื่อนไหว ควรใช้เสื้อกันฝนมากกว่าเพราะทั้งสองมือจะยังว่างนั่นเอง
ร่มเหมาะจะใช้โอกาสไหน?
ร่มเหมาะจะใช้ในโอกาสดังต่อไปนี้ค่ะ
- ลูกน้อยมีอายุมากกว่า 7 ปี – เด็กวัยนี้กล้ามเนื้อมือแข็งแรงพอที่จะควบคุมร่มได้แล้ว อย่างไรก็ตาม คุณพ่อ คุณแม่ควรสอนเขาด้วยว่าต้องใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
- บ้านใช้รถยนต์เป็นพาหนะ – การมีรถยนต์หมายความว่าสามารถไปส่งลูกน้อยได้ถึงหน้าประตูโรงเรียน โดยไม่เปียกฝน ทำให้ระยะทางจากรถถึงอาคารเรียนอาจสั้นมาก ดังนั้น ร่มตอบโจทย์กว่า
- ฝนตกปรอยๆ – ถ้าวันนั้นฝนตกลงเพียงเล็กน้อย ใช้ร่มก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องทนร้อน อบ เหมือนเสื้อกันฝน
- ต้องเข้า-ออกอาคารบ่อย – ถ้าวันนั้นลูกของคุณต้องย้ายอาคารเรียนบ่อยๆ แนะนำให้ใช้เป็นร่ม เพราะเสื้อกันฝนอาจไม่สะดวกเท่าไหร่
- ไม่อยากให้ลูกน้อยร้อนขณะเดินทาง – แม้ว่าเสื้อกันฝนจะช่วยกันฝนได้ดีกว่าก็จริง แต่ก็แลกมาด้วยความอับชื้น และร้อน ดังนั้น ให้ใช้ร่มแทนจะดีกว่า อย่างไรก็ตามให้ดูสถานการณ์เป็นหลัก เพราะวันที่ฝนตกหนัก เสื้อกันฝนก็ยังตอบโจทย์กว่าอยู่ดี
2. ทุกเครื่องแบบต้องพร้อม!
สิ่งที่สำคัญเรื่องต่อมานั่นก็คือเหล่า “เครื่องแบบ” นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กางเกง และรองเท้า เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ คุณพ่อ คุณแม่ ต้องเช็กให้ดีว่าชุดของลูกไม่คับติ้วจนเกินไป เพราะบางทีเด็กๆ เขาไม่มาบอกคุณตรงๆ สังเกตเอาเองจะดีที่สุด อย่างไรตามถ้าคุณไม่อยากต้องซื้อเครื่องแบบของลูกบ่อยๆ แนะนำว่าให้ “ซื้อเผื่อโต” จะตอบโจทย์ที่สุดค่ะ เพราะเด็กวัยนี้เขาโตกันไวมากๆ เผลอแปบเดียว ไซส์เสื้อผ้าก็เปลี่ยน อย่างไรก็ตามอย่าซื้อให้หลวมจนเกินไป เพราะจะทำให้ลูกเสียบุคลิกได้ มาดามแนะนำดังนี้ค่ะ
- เสื้อ – ควรเผื่อความยาวลำตัว (จากบ่าถึงชายเสื้อ) ได้ประมาณ 5–2 นิ้ว กุญแจสำคัญคือช่วงไหล่ เป็นจุดสำคัญเลย ให้คุณลองดูว่าตะเข็บบ่าของเสื้ออยู่ตรงหัวไหล่ไหม ถ้าตะเข็บตกไปถึงแขนเสื้อ แปลว่า “หลวมเกินไป” ไซส์ที่ดีคือใส่แล้วไม่แน่น และยังดูเรียบร้อย
- กางเกง & กระโปรง – เผื่อความยาวลงมาได้ 5–2 นิ้ว เช่นกัน บางแบบอาจขอให้ร้านเย็บชายเผื่อไว้ แล้วสามารถปล่อยได้เมื่อโต สำหรับกางเกงควรเลือกที่มียางยืดหรือเอวปรับระดับได้ ลูกจะใส่ได้นานขึ้น ส่วนกระโปรง ควรมีจีบเผื่อการยืดขยาย หรือมีตะขอที่เลื่อนตำแหน่งได้
- ถุงเท้า & รองเท้า – รองเท้าเผื่อไซส์ได้ไม่เยอะ ประมาณครึ่งไซส์ถึงหนึ่งไซส์ ส่วนถุงเท้าแนะนำให้ใช้แบบหนาก่อนเพื่อให้พอดีกับรองเท้าที่เผื่อไซส์ และเมื่อโตขึ้นค่อยให้ใส่ถุงเท้าที่บางลง
3. อุปกรณ์การเรียนต้องครบ เช็กให้ดี!
พ่อแม่หลายคนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่ามีดินสอ ยางลบ และไม้บรรทัด อาจจะเพียงพอแล้ว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เด็กๆ เขามีกิจกรรมเยอะมาก อาทิ วิชาศิลปะ ที่ต้องวาดและประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ซึ่งต้องพึ่งพาอุปกรณ์อื่นช่วย ดังนั้น เพื่อให้คุณพ่อ คุณแม่ พร้อมซัพพอร์ตลูกได้เลยโดยไม่ต้องไปหาซื้อในภายหลังมาดามมีลิสต์มาให้คุณแล้วค่ะ โดยจะครอบคลุมวัยช่วงชั้นที่ 2 (ป.4-ป.6) เลย ดังนี้
หมวดสำหรับเขียน
- ดินสอดำ 2B หรือ HB – ควรมีอย่างน้อย 2 แท่ง
- ยางลบ – แนะนำแบบนิ่ม ลบแล้วไม่เป็นผงเยอะ
- กบเหลาดินสอ – แบบมีฝาปิดหรือถังเก็บเศษจะดี เพราะจะได้ไม่สกปรกเลอะเทอะ
- ปากกาน้ำเงิน – หลายโรงเรียน เมื่อถึงป.4 จะเริ่มใช้ปากกากันแล้ว
- ปากกาแดง – ใช้ตรวจคำตอบหรือเน้นคำ
- ปากกาลบคำผิด – แนะนำให้ใช้เป็นแบบเทปรูด เพราะมีความสะอาดไม่เลอะมือ เหมือนแบบน้ำ
หมวดสำหรับวาด–วัด
- ไม้บรรทัด – ความยาว 15–30 ซม. ก็เพียงพอ
- ชุดเรขาคณิต – อาจจำเป็นในช่วง ป. 4–6
- สีไม้ / สีเมจิก / สีเทียน – เลือกตามความเหมาะสมกับวิชาศิลปะ แนะนำให้คุณถามลูกว่าเทอมนี้ต้องใช้สีแบบไหน
- กระดาษวาดเขียน – บางโรงเรียนระบุให้ใช้ขนาดเฉพาะ เช่น A4 หรือ A3
หมวดสำหรับตัด–ติด
- กรรไกร – เลือกแบบปลายมนสำหรับเด็ก
- กาวแท่ง หรือกาวน้ำ – ควรพกแบบที่ไม่หกเลอะง่าย
- เทปกาวใส – ใช้ซ่อมแซมสมุดหรือแปะงานเล็กๆ
- แผ่นปะสมุด / ป้ายชื่อ – ไว้ติดอุปกรณ์ทุกชิ้น ป้องกันของหาย
หมวดสำหรับจด–จัดระเบียบ
- สมุดจด – บรรทัดใหญ่/เล็กตามระดับชั้น ส่วนใหญ่โรงเรียนจะมีขายอยู่แล้ว
- แฟ้มใส หรือซองเอกสาร – ใช้เก็บใบงาน ใบเกรด ใบแจ้งจากโรงเรียน เป็นการสอนลูกเรื่องความเป็นระเบียบในตัว
- กระดาษโน้ต / กระดาษกาว – ใช้เขียนสรุปหรือแปะเตือน
- ปฏิทินตั้งโต๊ะ / สมุดบันทึกตารางเรียน – เริ่มปลูกฝังการจัดเวลาตั้งแต่เขายังเด็กๆ
4. กระเป๋าเป้ ไอเทมที่ขาดไม่ได้!
กระเป๋าเป้สำหรับเด็ก สำคัญมากๆ เพราะเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญสำหรับให้ลูกน้อยสำหรับขนย้ายสมุด หนังสือ อุปกกรณ์การเรียน และอื่นๆ นั่นเอง สำหรับกระเป๋าของลูกน้อย อันดับแรกให้ลูกเลือกแบบที่ชอบก่อนเป็นอันดับแรกว่าชอบลายแบบไหน เพราะสำหรับพวกเขาถือว่าสำคัญมากๆ จากนั้นคุณต้องพิจารณาต่อว่าขนาดของกระเป๋าเพียงพอกับของที่จะใส่หรือไม่ หรือกระเป๋ามีขนาดใหญ่จนเกินไปสำหรับร่างกายของพวกเขาหรือเปล่า ถ้าคุณพิจารณาแล้วว่ายังไม่เหมาะสม แนะนำให้จิ้มใบที่ใช่ให้ลูกเลือกได้เลย เพื่อกำหนดขอบเขตให้กับเขา โดยจะต้องมีความใกล้เคียงกับที่เขาเลือกนะ
ส่วนอีกคำแนะนำคือ ถ้าจะให้ดีที่สุดควรเลือก “กระเป๋าเป้กันน้ำ” ไปเลยจะดีที่สุด แต่ลวดลายจะมีให้เลือกน้อย ซึ่งขัดกับธรรมชาติของเด็กๆ ที่มักจะเลือกข้าวของเครื่องใช้โดยเน้นเป็นตัวละครหรือตัวการ์ตูนที่พวกเขาชอบ
5. กระติกน้ำ ดับกระหาย สุขอนามัยเป็นเลิศ
เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องมีติดเอาไว้เลย สำหรับลูกน้อยของคุณ เพราะนอกจากจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำดื่มของเขาแล้ว (กรณีเขาไม่ได้ซื้อน้ำดื่มเพิ่มช่วงกลางวัน) ยังเป็นการสอนเรื่องการดื่มน้ำให้กับลูกด้วยว่ามีความสำคัญกับร่างกายมาก และดีกว่าการดื่มน้ำหวาน โดยปริมาณน้ำที่ต้องดื่มมาดามแบ่งเป็นตารางมาให้เรา ดังนี้
อายุ | จำนวนแก้วน้ำ (แก้วละ 240 มล.) | ปริมาณรวมต่อวัน |
1–3 ปี | 4–5 แก้ว | 1,000 – 1,200 มล. |
4–8 ปี | 5–6 แก้ว | 1,200 – 1,500 มล. |
9–13 ปี | 6–8 แก้ว | 1,500 – 2,000 มล. |
14 ปีขึ้นไป | 8–10 แก้ว (เท่าผู้ใหญ่) | 2,000 – 2,400 มล. |
นอกจากนี้ การดื่มน้ำในแก้วของตัวเอง ยังลดโอกาสที่ลูกของเราจะดื่มน้ำร่วมกับเพื่อนๆ ซึ่งบางคนอาจจะเป็นไข้หวัดอยู่ และทำให้ลูกของเราติดด้วยได้ ยิ่งช่วงหน้าฝนยิ่งต้องระวังเลย
6. ปรับเปลี่ยนบางพฤติกรรมสำหรับช่วงเปิดเทอม
อย่างที่ทราบกันดีว่าช่วงปิดเทอม เหล่าลูกน้อยจะนอนดึก ตื่นสาย ส่งผลให้การทานอาหารเช้า เปลี่ยนเวลาไปด้วยนั่นเอง ดังนั้น ก่อนที่พวกเขาจะเปิดเทอมสักประมาณ 1 สัปดาห์ คุณแม่ต้องเตรียมปรับพฤติกรรมเหล่านี้ให้เหมาะสมกับช่วงเปิดเทอมค่ะ ดังนี้
ปรับเวลานอนกลับเป็นตอนหัวค่ำ
ใช่แล้วล่ะ! อันนี้คือสิ่งสำคัญ ตามที่มาดามที่เกริ่นไว้นิดๆ ในตอนต้น มาดามเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยคุณแม่ให้อิสระลูกๆ ได้นอนดึกกัน เพื่อทำกิจกรรมที่เขาชอบ อาทิ ดู Youtube, ดูการ์ตูน เล่นเกม และอื่นๆ แต่ถ้าเป็นช่วงใกล้เปิดเทอมแล้ว อาจจะต้องเข้มงวดกับเขาสักนิด ให้ฝึกเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะเด็กๆ เขาต้องมีเวลาพักผ่อนอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงนั่นเอง ดังนั้น ต้องให้เข้านอนไม่เกินดึกสุดคือ 3 ทุ่ม โดยหัดให้เขาตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อให้เขามีสมาธิในการเรียน ไม่ง่วงเหงาหาวนอน ให้เขาได้พัฒนาศักยภาพทางสติปัญญาได้อย่างเต็มที่
อาหารเช้าต้องกลับมาทานตอน 6-7 โมงเช้า
สืบเนื่องจากการปรับพฤติกรรมการนอนแล้ว พฤติกรรมในการทานอาหารเช้าก็ต้องปรับเช่นกัน เพราะช่วงปิดเทอมๆ ลูกของเรามักกจะได้ทานอาหารช่วง 9-10 โมง ซึ่งนั่นจะทำให้เวลาที่เขาตื่นมาช่วง 6-7 โมงเช้า แล้วไม่อยากอาหาร เพราะท้องไม่คุ้นชินนั่นเอง ดังนั้น ต้องรีบปรับพฤติกรรมก่อนที่เขาจะเปิดเทอม เนื่องจากมีเช้าสำคัญกับสมองมากๆ ไม่อย่างนั้นมีโอกาสที่ลูกน้อยจะคิดอะไรไม่ออก หรือตามครูผู้สอนไม่ทันก็เป็นได้ รวมไปถึงอาจจะต้องทนหิวไปถึงช่วงพักกลางวันเลย
7. หน้าฝนต้องสมาร์ทวอช!
สมาร์ทวอชเป็นเครื่องบอกเวลาให้ลูกน้อยช่วงหน้าฝนที่ดีสุดๆ เพราะมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำทุกรุ่น นอกจากนี้ตัวสมาร์ทวอชเองก็มีระบบ GPS สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน โดยเฉพาะกับลูกๆ ที่ต้องนั่งรถขนส่งสาธารณะเอง เวลาฝนตกรถติดๆ เขาจะได้อยู่ในสายตาเราตลอดนั่นเอง นอกจากนี้สมาร์ทวอชยังช่วยตรวจสอบสุขภาพของลูกๆ ได้อีกด้วย แถมบางรุ่นยังใช้พูดคุยได้อีกด้วย
8. หยูกยาต้องมีพร้อม
ข้อนี้เป็นกรณีที่ลูกๆ บางคนมีโรคประจำตัวและต้องพกยาติดตัวตลอด ช่วงใกล้ๆ เปิดเทอมแบบนี้ก็เตรียมไว้ให้เขาเลย นอกจากยาประจำตัวแล้ว การมีพลาสเตอร์ลายน่ารักๆ ติดไปในกระเป๋าให้เขาด้วยก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน เวลาที่เขาเล่นซุกซนกับเพื่อนๆ แล้วเกิดสะดุดล้ม เขาจะได้มีพลาสเตอร์น่ารักๆ ปิดแผลของเขา ถูกใจกว่าพลาสเตอร์ในห้องพยาบาลของโรงเรียนแน่นอน อย่างไรก็ตาม คุณควรจะสอนเขาให้ติดพลาสเตอร์เองด้วยนะ ถือว่าเป็นการฝึกเรื่องการช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่ยังเด็กๆ
9. สำรวจเส้นทางที่เร็วที่สุด!
อันนี้อาจจะไม่เตรียมเพื่อเขาโดยตรง แต่ลูกน้อยเขาก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย เพราะอย่าลืมว่าถ้าลูกของเราเปิดเทอม คนอื่นๆ ก็เปิดเทอมเช่นเดียวกัน ทำให้การจราจรติดขัดสุดๆ ดังนั้น การสำรวจเส้นทางเอาไว้เบื้องต้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคุณพ่อ คุณแม่ ที่เพิ่งย้ายลูกไปยังโรงเรียนแห่งใหม่ ที่ยังไม่คุ้นชินเส้นทาง สำรวจให้ครบว่านช่วงเช้าว่าจะออกทางไหน ตอนเย็นไปรับใช้ถนนเส้นไหนดี เพื่อเซฟเวลาให้ลูกน้อยไปโรงเรียนได้ทันเวลา เราไปทำงานไม่สาย และในตอนเย็นเขาไม่ต้องรอเรานานจนเกินไปนั่นเอง
10. หน้ากากอนามัย & เจลล้างมือ ยังสำคัญ!
และสิ่งสุดท้ายที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องให้ความสำคัญนั่นก็คือ ไอเทมเพื่อสุขอนามัยอย่าง “หน้ากากอนามัย” และ “เจลล้างมือ” แม้ว่าช่วงที่โควิด-19 ระบาดๆ หนักจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่มีป้องกันเอาไว้ก็ดีกว่าแน่นอน เพราะไม่รู้เลยว่าจะกลับมาระบาดอีกตอนไหน โดยนอกจากจะช่วยป้องกันเชื้อโรคต่างๆ แล้ว ถ้าลูกน้อยของคุณป่วยก็ถือว่าเป็นการช่วยส่วนรวมแม้แพร่กระจายเชื่อโรคออกไปเป็นวงกว้างค่ะ ส่วนเจลล้างมืออันนี้ก็ถือว่าได้ฝึกเขาในเรื่องความสะอาดด้วย เพราะมือของเขาต้องหยิบจับอะไรตลอดเวลานั่นเอง
บทส่งท้าย & ไปช้อปกันต่อที่ Central Online
นี่ก็คือทั้งหมดของมาดามในวันนี้รับรองได้เลยว่า ถ้าเตรียมครบทั้ง 10 อย่าง การเปิดเทอมของลูกน้อยจะเป็นไปอย่างราบรื่นแน่นอน และสำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่อยากได้ไอเทมสำหรับช่วงเปิดเทอม สามารถเข้าไปช้อปกันต่อได้เลยที่หมวดแม่และเด็ก ทาง Central Online เตรียมไว้ให้คุณช้อปอย่างครบครันเป็นที่เรียบร้อย